ไมค์ ดูแรนท์ : เขาเป็นมากกว่านักบินในเหตุการณ์ Black Hawk Down

    เขียนโดย Zachary Cohen, CNN
    เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2016

    แปลและเรียบเรียงโดย เทอดพงษ์ ฉายะรถี
    เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2020

    ที่เมืองฮันทส์วิลล์ รัฐอลาบาม่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

    “ผมได้ยินพวกเขากำลังเคลื่อนที่เข้ามา พวกเขากำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาผม
    และพวกเขาจะฆ่าผม...”

    นี่คือความคิดของเจ้าหน้าที่สัญญาบัตรพิเศษ ไมค์ ดูแรนท์
    ขณะที่เขากำลังเงยหน้ามองขึ้นฟ้าและกำลังทำใจกับความตายที่กำลังจะมาเยือน
    ในห้องนักบินของเฮลิคอปเตอร์ แบล็ค ฮอว์ค

    ทุกๆการขยับของเข็มวินาทีบนนาฬิกา ความกลัวของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    จนเมื่อฝูงชนมายืนเหนือเขา ฉุดกระชากอุปกรณ์สัมภาระของเขา
    ออกจากตัวและซ้อมเขาอย่างไร้ความปราณี

    การทำร้ายร่างกายของฝูงชนทำให้จมูกของเขาหัก,
    โหนกแก้มและเบ้าตาของเขาช้ำ
    และดูแรนท์มั่นใจว่าเขาจะต้องถูกซ้อมจนตายแน่นอน

    แต่ในขณะที่โอกาสในการรอดชีวิตของเขากำลังริบหรี่ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง

    “ปัง ปัง ปัง”

    เสียงปืนดังขึ้นในหนแห่งหนึ่งท่ามกลางฝูงชนที่รุมล้อมเขา

    และเสียงนั้นทำให้การทำร้ายร่างกายหยุดลง

    ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งโผล่ออกมาท่ามกลางประชาชนชาวโซมาเลีย
    ที่กำลังรุมล้อมนักบินเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังอยู่ในสภาพสะบักสะบอม
    และเขาได้กล่าวว่านักบินเฮลิคอปเตอร์คนนี้ จะถูกควบคุมตัวเป็นนักโทษ

    “นั้นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมกลายสภาพจากชาวอเมริกันที่กำลังจะเสียชีวิตในสมรภูมิ
    เป็นนักโทษที่จะถูกพวกเขาควบคุมตัว” ดูแรนท์กล่าว

    ไมค์ ดูแรนท์


    กลับมาที่ 25 ปีภายหลัง ณ ช่วงเวลาที่ทำการสัมภาษณ์ ดูแรนท์มีอายุ 54 ปี
    ยืนอยู่ในห้องครัวของเขาที่บ้านในเมืองฮันทส์วิลล์ รัฐอลาบาม่า
    กำลังพลิกแพนเค้กของเขาที่กำลังร้อนระอุอยู่บนกระทะกับภรรยาของเขา ลิซ่า

    ไมเคิล เด็กชายวัย 11 ขวบ ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาลูกทั้ง 6 คนของครอบครัวดูแรนท์
    กำลังนั่งรออาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

    ในช่วงระหว่างวัน คุณสามารถพบดูแรนท์ได้ที่ออฟฟิศสำนักงาน Pinnacle Solutions
    ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของและประกอบกิจการในด้านการก่อสร้าง
    แบบจำลองในการฝึกด้านทหาร

    ดูแรนท์มักจะเดินทางไปยังลานน้ำแข็งของลานกีฬาประจำเมืองฮันทส์วิลล์
    ประมาณสามถึงสี่วันในแต่ละสัปดาห์หลังจากเลิกงาน เพื่อเล่นฮ็อกกี้กับทีมของเขา

    หากมองผ่านๆ มันยากที่จะบอกได้ว่าดูแรนท์มีความแตกต่างไปจาก
    สมาชิกครอบครัวของชาวอเมริกันทั่วไปบ้าง รูปภาพของสมาชิกในครอบครัว
    และถ้วยรางวัลจากการแข่งขันต่างๆถูกแขวนเรียงรายอยู่บนผนังของบ้านเขา

    ไมเคิล ลูกชายคนสุดท้องที่ญาติๆต่างก็เรียกว่า “เด็กน้อยยอดชาย”
    เล่นฮ็อกกี้เหมือนพ่อของเขาและเกลียดการไปโรงเรียนสาย

    แต่หากคุณมองไปยังกล่องเก็บของส่วนตัวที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่น
    คุณจะเห็นเหรียญสามแบบ วางเคียงข้างกันอยู่ที่แถวล่าง เหรียญเหล่านั้นคือ

    เหรียญ Purple Heart
    เหรียญ Distinguished Flying Cross
    เหรียญ Distinguished Service Medal

    การวางเหรียญทั้งสามเหรียญเหล่านี้ในบ้านของเขา
    ที่ไม่ดูโอ้อวดอาจจะเป็นอะไรที่สะท้อนถึงนิสัยใจคอของดูแรนท์ในทุกวันนี้

    ในขณะที่เขาน้อมรับประสบการณ์ของเขาในโซมาเลีย
    ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการดำเนินชีวิตของเขา
    ดูแรนท์ก็ยอมรับว่าเขาก็อยากให้ทุกคนมองเขาว่าเป็น
    มากกว่า “นักบินที่อยู่ในเหตุการณ์ Black Hawk Down”

    หากเขามีทางเลือก, ดูแรนท์ก็อยากจะเลือกที่จะไม่เล่า

    เกี่ยวกับการที่เฮลิคอปเตอร์ของเขาถูกยิงตก
    และถูกจับกุมเป็นนักโทษนานถึง 11 วัน
    แต่เขากล่าวว่าเขามีความจำเป็นที่จะต้องเล่าเรื่องราวของเขา

    ที่เกิดขึ้นและมุมมองของเขาต่อเหตุการณ์นั้นๆ


    “คุณจะรู้สึกว่าคุณไร้เทียมทานอะไรประมาณนั้น”

    ดูแรนท์ ผู้ซึ่งขับเฮลิคอปเตอร์ แบล็ค ฮอว์ค ลำที่ถูกยิงตกในเหตุการณ์

    การต่อสู้ที่โซมาเลียในปี ค.ศ. 1993
    ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกทำให้โด่งดังโดยหนังภาพยนตร์เรื่อง “Black Hawk Down”

    ในปี ค.ศ. 2001
    และจากหนังสือของเขาเองที่ชื่อ “In the Company of Heroes”

    หน่วยการบินปฏิบัติการพิเศษของเขาถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ
    ที่ประเทศโซมาเลียในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1993
    เพื่อช่วยเหลือกองทัพสหรัฐที่ทำการต่อสู้ในประเทศโซมาเลีย
    มาประมาณ 8 เดือนแล้ว หนึ่งปีก่อนหน้านั้น
    ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช
    ได้มีคำสั่งให้ส่งกองกำลังทหารสหรัฐหลายพันนาย

    ไปยังประเทศที่กำลังคุกครุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    เพื่อเป็นแกนนำในการพยายามของสหประชาชาติ
    ที่จะสนับสนุนอาหารและน้ำให้กับประชาชนผู้คนที่อดอยาก


    กองกำลังสหรัฐขณะทำการรักษาความปลอดภัยให้กับกองกำลังสหประชาชาติ

    เป้าหมายโดยรวมของหน่วยปฏิบัติการ
    คือการเข้าจับกุมผู้นำกลุ่มติดอาวุธชาวโซมาเลีย
    ที่ชื่อ โมฮัมเม็ด ฟาราห์ ไอดิด 

    และเป็นกองกำลังรักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยงานองค์กรช่วยเหลือ
    ที่ทำการช่วยเหลือบรรเทาความหิวโหยของประชาชนในเมืองโมกาดิชู

    หัวหน้ากลุ่มผู้นำติดอาวุธโมฮัมเม็ด ฟาราห์ ไอดิด (เสื้อสีเหลือง)


    ในช่วงเวลานั้น ประเทศโซมาเลียถูกแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นกลุ่ม
    ภายหลังจากจุดจบของผู้ปกครองโซมาเลียที่แข็งแกร่งในยุคก่อนหน้านั้น
    ซึ่งก็คือประธานาธิบดีโมฮัมเม็ด ไซแอด บารร์

    ผู้นำเผด็จการประธานาธิบดีโมฮัมเม็ด ไซแอด บารร์

    ในช่วงเวลานั้น ดูแรนท์และทีมทหารสหรัฐของเขาปฏิบัติภารกิจสำเร็จมาหลายครั้ง
    สามารถทำการจับกุมหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธชาวโซมาเลียได้กว่า 24 คน

    แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1993

    เมื่อหน่วยเฮลิคอปเตอร์ชั้นหัวกะทิของเขา
    ได้รับภารกิจมาให้ทำการสนับสนุนทางอากาศกองกำลังภาคพื้นดิน
    ในขณะที่กำลังไล่ล่าผู้นำทางทหารขั้นอาวุโสของกองกำลังติดอาวุธของไอดิด

    ในเมืองหลวงของประเทศ

    ด้วยการโจมตีจากกลุ่มติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามหลายกลุ่ม
    ทำให้กองกำลังติดอาวุธของไอดิดสามารถขับไล่ประธานาธิบดีบารร์ได้
    และเป็นหัวหอกในการพยายามที่จะขัดขวางการมีอยู่ของกองกำลังนาโตที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในโซมาเลียในขณะนั้น

    เฮลิคอปเตอร์แบล็ค ฮอว์ค จากกรมการบินปฏิบัติการพิเศษที่ 160 

    (ภาพจากภาพยนตร์เรื่่อง Black Hawk Down)


    ภายในตัวของดูแรนท์นั้นเต็มไปด้วยอะดรีนาลีนที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย
    ในขณะที่เขากำลังปืนขึ้นห้องนักบินของเฮลิคอปเตอร์ในวันนั้น 

    ดูแรนท์เปรียบเทียบว่ามันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับเขากำลังได้แข่งนัดชิงฟุตบอลโลก

    “เราได้บินพาหน่วยเดลต้า ฟอร์ซ และ ซีลทีมหก ไปยังจุดเป้าหมาย สิ่งที่ผมจะสื่อคือ
    มันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ” ดูแรนท์พูด “ เมื่อคุณจินตนาการถึงความฝันครั้งแรก
    ของคุณเมื่อได้ก้าวเข้ามาในวงการการบินของทหาร
    นี่คือสิ่งที่คุณจะวาดฝันไว้ มันคือจุดสูงสุดของการเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์แล้ว”

    ทีมแบล็ค ฮอว์ค ทำการบินเป็นขบวนด้วยความมั่นใจสูงสุด
    ในขณะที่กำลังเดินทางจากฐานของสหประชาชาติที่ชานเมืองโมกาดิชู
    ไปยังใจกลางเมือง

    “คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณไร้เทียมทาน” ดูแรนท์กล่าว
    “ที่ผมจะกล่าวคือ ทุกวันที่ผมเปิดวีดีโอดูขบวนการบิน
    ของกลุ่มเฮลิคอปเตอร์ในวันนั้นมันน่าเกรงขามมากๆ”


    ขบวนเฮลิคอปเตอร์ในขณะกำลังเคลื่อนกำลังเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายในกรุงโมกาดิชู

    (ภาพจากภาพยนตร์เรื่่อง Black Hawk Down)

     

    ปฏิบัติการในวันนั้นถูกคาดการณ์ไว้ว่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมง
    โดยมีหน่วยจู่โจมที่ประกอบไปด้วย อากาศยาน 19 ลำ

    ยานพาหนะ 12 คัน และทหาร 160 นาย

    ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังทำการบินวนเหนือจุดลงจอดเป้าหมาย

    ดูแรนท์และลูกเรือของเฮลิคอปเตอร์อีกสามนาย
    สามารถมองเห็นการสู้รบที่กำลังเริ่มต้นด้านล่างได้
    กองกำลังภาคพื้นดินของกองทัพสหรัฐเริ่มทำการต่อสู้
    กับสมาชิกทหารอาสาสมัครและพลเมืองที่ติดอาวุธที่ฝักใฝ่ต่อไอดิด

    ที่ได้ทำการควบคุมเมืองชั้นในไว้

    สมาชิกทหารอาสาสมัครและพลเมืองที่ติดอาวุธที่ฝักใฝ่ต่อไอดิดในใจกลางกรุงโมกาดิชู

    (ภาพจากภาพยนตร์เรื่่อง Black Hawk Down)


    ในขณะที่การยิงต่อสู้ดุเดือด ดูแรนท์ก็ได้ทำการบินเฮลิคอปเตอร์ของเขา
    เป็นวงกลมขนาดเล็กในบริเวณที่มีการยิงต่อสู้เพื่อทำการยิงสนับสนุน
    ให้กับกองกำลังทหารสหรัฐด้านล่าง

    Super 6-4 ขณะทำการสนับสนุนกองกำลังทหารสหรัฐภาคพื้นดิน

    (ภาพจากภาพยนตร์เรื่่อง Black Hawk Down)

    ทันใดนั้น ก็มีชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากประตูบนตึกแห่งหนึ่งและได้ทำการยิง RPG
    เข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ที่กำลังบินอยู่ช้าๆ จรวดนั้นพุ่งเข้าใส่โรเตอร์ท้ายลำเครื่อง
    ทำให้เฮลิคอปเตอร์ของดูแรนท์และลูกเรือหมุนอย่างรุนแรงลงไปยังพื้นดิน


    เฮลิคอปเตอร์แบล็ค ฮอว์ค หมุนอยู่ประมาณ 15 ถึง 20 ครั้ง
    จากความสูงเหนือพื้นดินประมาณ 70 ฟุต (21 เมตร)
    และตกลงไปยังบริเวณกระท่อมที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่มีการต่อสู้หลัก
    “ในความคิดของผมตอนนั้น ผมคิดว่าผมตายแล้ว” ดูแรนท์พูด
    และนึกย้อนไปตอนที่เฮลิคอปเตอร์กำลังตกพื้น “แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่ได้ตาย”


    ‘พวกเราโดดเดี่ยว และถูกศัตรูล้อม’

    เมื่อดูแรนท์ได้สติกลับมาภายหลังจากเฮลิคอปเตอร์ตก
    เขาก็รู้ตัวทันทีว่าสถานการณ์ของเขากำลังคับขัน แต่เขาไม่ได้ตื่นตระหนก

    “มันเหมือนตื่นจากการหลับลึก” ดูแรนท์กล่าว
    "ผมจำได้ว่าผมฟื้นคืนสติและนึกคิดกับตัวเองว่า โอเค, เราต้องทำอะไร?”

    เมื่อรู้ตัวว่าตัวเขานั้นไม่สามารถขยับตัวออกจากเฮลิคอปเตอร์ได้
    เพราะหลังและขาของเขานั้นมีอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรง
    ดูแรนท์เคลียร์เศษซากที่ขวางบริเวณกระจกหน้าของเฮลิคอปเตอร์ออก
    เพื่อให้เขาได้เห็นสถานการณ์ภายนอกได้ดียิ่งขึ้น
    เขาหยิบอาวุธประจำกายของเขาที่วางอยู่ข้างๆ

    และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ในสถานการณ์หลังชนฝา


    “พวกเราบาดเจ็บหนักมาก พวกเราโดดเดี่ยว พวกเราถูกศัตรูล้อม
    และมันดูเหมือนว่าจะไม่มีกำลังเสริมเหลือแล้วที่จะสามารถมาช่วยเราได้” ดูแรนท์เล่า

    แต่ในขณะที่เขากำลังยอมรับกับโชคชะตาของเขานั้นเอง
    เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษสองนายจากหน่วยเดลต้า ฟอร์ซ
    จ่าสิบเอกแกรี่ กอร์ดอน และ จ่าสิบโทแรนดี้ ชูการ์ต
    ก็โผล่มาที่บริเวณจุดตกของเฮลิคอปเตอร์


    ดูแรนท์มาเรียนรู้ภายหลังว่าชูการ์ตและกอร์ดอนอาสาสมัคร
    ที่จะลงมาที่จุดตกของเฮลิคอปเตอร์จากเฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังสหรัฐลำอื่น
    ที่กำลังยิงสนับสนุนจากด้านบน ถึงแม้จะมีกองกำลังติดอาวุธชาวโซมาเลีย
    อยู่ในพื้นที่และไม่รู้ว่าชะตากรรมของดูแรนท์และลูกเรือในเฮลิคอปเตอร์เป็นอย่างไร

     

    จ่าสิบโทแรนดี้ ชูการ์ต(ซ้าย) และ จ่าสิบเอกแกรี่ กอร์ดอน (ขวา)


    เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษทั้งสองนาย
    ต่างได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal Of Honor
    จากวีรกรรมที่ทั้งสองต่างกระทำในวันนั้น

    “ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หรืออาจจะเป็นเพราะปาฏิหาริย์
    ทีมตอบโต้เร็วนั้นมาเร็วมากกว่าที่ผมคาดคิดไว้เสียอีก” ดูแรนท์กล่าว

    เขารู้สึกว่าตัวเขาและลูกเรือนั้นจะสามารถรอดออกไปจากสถานการณ์นี้ได้
    แต่ความหวังนั้นก็มหลายหายสิ้นไปภายในเพียงสองถึงสามนาทีหลังจากนั้น
    เมื่อดูแรนท์รู้ว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษทั้งสองนายที่ยืนเคียงข้างเขานั้น
    คือทั้งหมดของชุดช่วยเหลือ

    ด้วยห่ากระสุนที่ถูกระดมยิงจากทุกทิศทางมายังเฮลิคอปเตอร์ที่ตกลง
    ดูแรนท์สามารถย้อนนึกไปถึงท่าทีของกอร์ดอนและชูการ์ตได้

    ซึ่งทั้งสองต่างมีท่าทีที่สงบและใจเย็น
    มีการจัดตั้งพื้นที่โดยรอบและมีการวิทยุพูดคุยกับกองบัญชาการ

    เหมือนที่พวกเขาได้เคยฝึกมา

     

    จ่าสิบเอกแกรี่ กอร์ดอน และ จ่าสิบโทแรนดี้ ชูการ์ต ขณะทำการเข้าช่วยเหลือนักบิน
    และลูกเรือของเฮลิคอปเตอร์แบล็ค ฮอว์ค รหัส Super 6-4

    (ภาพจากภาพยนตร์เรื่่อง Black Hawk Down)


    ทั้งสองต่างยันฝูงชนติดอาวุธได้ระยะเวลาหนึ่ง
    มีการยิงแลกเปลี่ยนกันระหว่างฝูงชนติดอาวุธและเจ้าหน้าที่เดลต้า ฟอร์ซ ทั้งสองนาย
    แต่ทุกๆวินาทีที่ดำเนินผ่านไป โอกาสสำเร็จในการช่วยเหลือก็ลดน้อยลงไปทุกที

    ดูแรนท์เล่าว่าความโล่งอกโล่งใจที่เขามีเมื่อตอนที่เจ้าหน้าที่เดลต้า ฟอร์ซ
    ทั้งสองนายโผล่มาช่วยเหลือหายไปเมื่อกอร์ดอนถูกยิง

    “ในตอนแรกมันรู้สึกเหมือนตอนที่เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก” ดูแรนท์เล่า
    "เพราะในตอนนี้ คนที่คุณเคยนึกว่าไม่มีอะไรสามารถทำลายเขาได้ พึ่งถูกยิงล้มลงไป”

    ดูแรนท์กำลังทำการประเมินอากาศบาดเจ็บของลูกเรือของเขาทุกคน
    ในขณะที่เขาได้ยินเสียงชูการ์ตกำลังทำการสู้อย่างหลังชนฝา

    “ปริมาณของเสียงปืนมันน่าเหลือเชื่อมากๆ” ดูแรนท์พูด
    "ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างว่ามันคงไม่มีหนทางใดที่เขาจะสามารถยันฝูงชนไว้ทั้งหมดได้”

    การยิงต่อสู้ก็หยุดลง และดูแรนท์ก็รู้ว่าชูการ์ตถูกยิงเสียชีวิต
    เขาเล่าว่าช่วงเวลาที่ตามมาหลังจากนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของเขา

    “ผมจำได้ว่าผมพยายามทำใจในตอนนั้น มองขึ้นฟ้า

    แล้วนึกว่าผมวิ่งไม่ได้ ผมสู้ไม่ได้ และผมหนีไม่ได้ มันจบแล้ว” เขาเล่า

    ลูกเรือทั้งสามนายของดูแรนท์ถูกฆ่าทั้งหมด

    ในตอนที่ฝูงชนชาวโซมาเลียบุกเข้ามาในจุดตกของเฮลิคอปเตอร์
    สิ่งที่ตามหลอกหลอนมาทั้งชีวิตของเขาคือ การที่ศีรษะของเขา
    ถูกฟาดด้วยท่อนแขนที่ถูกตัดออกมาจากหนึ่งในลูกเรือของเขา
    ที่พึ่งถูกฆ่าเสียชีวิตไปเพียงชั่วครู่ แต่ดูแรนท์ก็รอดมาได้
    เขาถูกจับโยนลงไปที่ท้ายรถกระบะและถูกจับกุมเป็นนักโทษ
    โดยหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธคนหนึ่ง

    กลายเป็นว่า‘คนโซมาเลียชอบผม’

    ไมค์ ดูแรนท์ ขณะถูกควบคุมเป็นนักโทษ


    ในช่วงที่เป็นนักโทษ ดูแรนท์มีเพียงภารกิจเดียวในหัวของเขา คือการพยายามมีชีวิตรอด

    ในตอนแรก ดูแรนท์กล่าวว่า ผู้คุมขังของเขาปฏิบัติต่อเขาแย่มาก
    ถึงแม้จะมีการดูแลปฐมพยาบาลอาการบาดเจ็บหลายแห่งที่ดูแรนท์ได้รับ
    จากเฮลิคอปเตอร์ตกและการถูกซ้อมภายหลังจากนั้น
    เขาก็ถูกยิงเข้าที่ขาในขณะที่ตกเป็นเชลย
    ถูกข่มขู่โดยการ์ดควบคุม
    และถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีสภาพที่ย่ำแย่

    เขาจดจำได้ว่าเขาถูกคุมขังอย่างไร
    ผู้คุมขังชาวโซมาเลียจับเขาไว้ด้วยปลอกคอหมา
    มัดมือเขาไว้ด้วยกันจนเขาไม่สามารถแม้แต่จะเช็ดดินที่อยู่บนใบหน้าของเขาได้เลย

    ดูแรนท์ถูกขังไว้ในห้องคอนกรีตที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆอยู่ในห้อง
    และมีเพียงประตูเดียวซึ่งถูกปิดไว้อยู่ตลอดเวลา

    แต่เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวัน พวกเขาก็เริ่มมีท่าทีที่ก้าวร้าวน้อยลง

    ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม
    ดูแรนท์ก็สามารถสานสัมพันธ์ระหว่างเขากับการ์ดควบคุมตัวเขาได้
    ด้วยอารมณ์ขันของเขา ไปจนถึงจุดที่สภากาชาดระบุว่าผู้ควบคุมตัวของเขา
    ประสบกับอาการ “Stockholm syndrome แบบย้อนกลับ”

    (อาการ Stockholm syndrome คืออาการที่ผู้ถูกควบคุมตัวรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
    และรู้สึกดีต่อผู้ก่อเหตุ ในกรณีของดูแรนท์คือการที่ผู้คุมขังรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
    และรู้สึกดีกับดูแรนท์)


    “วิธีการรับมือกับความเครียดของผมคือการสร้างมุขตลก” เขากล่าว
    ”กล่าวโดยทั่วไป พวกเขา(สภากาชาด) สรุปไว้ว่าพวกเขา

    ผู้คุมขังผมชาวโซมาเลียชื่นชอบผม”

    ในขณะที่ดูแรนท์อยู่ในการควบคุมตัว ดูแรนท์กล่าวว่า
    เขาไม่เคยสูญเสียความหวังว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ


    “คุณต้องมีความหวัง คุณต้องคอยพูดกับตัวเองว่าซักวันหนึ่ง
    ผมจะออกไปจากที่นี่ได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นจิตใจของตัวเอง” เขากล่าว

    หลังจากนั้น 11 วัน ดูแรนท์ก็ถูกปล่อยกลับไปยังการดูแลของสหรัฐ
    หลังจากการเจรจาที่มีหัวหอกเป็นนักการฑูตชาวอเมริกัน โรเบิร์ต โอคเลย์

    ท่านฑูตโรเบิร์ต โอคเลย์ ผู้ที่ทำการเจรจากับกลุ่มติดอาวุธชาวโซมาเลีย

    เพื่อขอตัว ไมค์ ดูแรนท์ คืนกลับมา


    แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าการควบคุมตัวของเขานั้นสิ้นสุดลง
    จนเขาได้เดินผ่านประตูของฐานสหประชาชาติที่เขาได้บินออกไปเมื่อ 12 วันที่แล้ว

    ไมค์ ดูแรนท์ ขณะกำลังเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา

    เมื่อเขาเดินทางกลับมาที่ฐาน เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้คนที่คุ้นเคย
    แต่ก็ยังได้รับข่าวที่ทำให้หัวใจของเขาสลาย

    “เมื่อพวกเขานำเพื่อนของผมจากหน่วยมา
    มันเป็นช่วงวินาทีที่สะเทือนใจ เพราะอย่างแรกผมได้พบเจอกับพวกเขาในที่สุด
    แต่ผมก็ได้ทราบว่าเพื่อนสนิทของพวกเรา โดโนแวน บรีเลย์ และ คลิฟฟ์ โวลคอตต์
    ได้เสียชีวิตในหน้าที่” ดูแรนท์กล่าว “ผมรู้ว่าผมได้สูญเสียลูกเรือของผมไป
    ผมมีเวลา 11 วันในการยอมรับกับสิ่งนั้น แต่ผมไม่ได้รู้ว่าผมได้สูญเสียเพื่อนสนิท
    ที่แสนดีไปสองคน”

    เคลมว่ามีทรัพยากรไม่เพียงพอ

    ดูแรนท์ยังเศร้าโศกจากข่าวที่เขาพึ่งได้รับ ในตอนที่เขาได้รับสายโทรศัพท์
    จากประธานาธิบดีสหรัฐ บิล คลินตัน

    “ผมบอกเขาไปว่าผมภาคภูมิใจในการเป็นคนอเมริกัน
    หรืออะไรที่โง่เง่าแบบนั้น” ดูแรนท์กล่าว
    “ผมไม่ได้บอกเขาในสิ่งที่ผมอยากพูดจริงๆ”

    มองย้อนกลับไปตอนที่เขาสนทนากับประธานาธิบดีคลินตัน
    ดูแรนท์พูดว่าเขาต้องทนกับข้อผูกมัดสำหรับผู้ที่เป็นทหาร
    ในการห้ามพูดวิจารณ์ถึงผู้นำทางการเมืองทั้งหลาย
    แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในโซมาเลียคือ
    “มันคือความผิดพลาดของผู้นำทางการเมืองในตอนนั้นอย่างแท้จริง” ดูแรนท์กล่าว


    “เราไม่มีทรัพยากรเพียงพอกับที่เราต้องการในการทำภารกิจนั้น
    เราต้องร้องขอพวกเขา และพวกเขาก็ปฏิเสธ
    และผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น” ดูแรนท์กล่าว

    “เราทำให้ปฏิบัติการณ์ที่สำเร็จมานานกว่า 10 เดือน กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้
    ซึ่งน่าเศร้าใจ ที่ประวัติศาสตร์จะมองย้อนกลับไป และเห็นว่าโดยรวมแล้ว
    ปฏิบัติการณ์นี้มันล้มเหลว”

    “มันเป็นยาขมที่ยากที่จะกลืนมันลงไป
    สำหรับการที่รู้ว่าคุณและเพื่อนร่วมรบของคุณพยายามทุกอย่างเท่าที่คุณจะทำได้
    ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ และเราไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเพราะข้อมือของเรา
    ถูกมัดไว้ด้วยการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้” ดูแรนท์กล่าว

    มีทหารจากกองกำลังที่นำโดยสหรัฐเสียชีวิตในหน้าที่ 18 นาย และมี
    ผู้บาดเจ็บในหน้าที่ 74 นาย จากการต่อสู้ที่โมกาดิชู

    “ผมได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตอีกครั้ง”

    ดูแรนท์ต้องเผชิญกับความจริงที่ยากลำบากเมื่อเดินทางกลับแผ่นดินเกิดที่สหรัฐอเมริก
    ประสบการณ์ของเขาทำให้ดูแรนท์เป็นที่โด่งดัง

    ไมค์ ดุแรนท์ เมื่อเดินทางถึงสหรัฐอเมริกา


    “มีหลายคนที่ชอบเป็นจุดสนใจของสังคม แต่ผมไม่” ดูแรนท์กล่าว

    ในช่วงขณะที่เขาถูกควบคุมตัว ดูแรนท์ไม่ได้รู้เลยว่าสื่อต่างๆกล่าวถึงเขาขนาดไหน
    และกระแสสังคมเฝ้ารอคอยให้เขากลับบ้านเกิดขนาดไหน

    “มันเป็นระยะเวลานานเลยนะ ที่ผมรู้สึกค่อนข้างขมขื่นกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
    เพราะว่าเพื่อนหลายคนของผมเสียชีวิต และภายใน 90 วันหลังจากนั้น
    สหรัฐอเมริกาก็ถอนกำลังออกโซมาเลีย พูดง่ายๆก็คือยอมแพ้นั้นแหละ”
    ดูแรนท์กล่าว

    หน่วยเรนเจอร์ของกองทัพบกสหรัฐขณะกำลังถอนตัวออกจากโซมาเลีย


    แต่ปัจจุบัน ดูแรนท์กล่าวว่า เขาเข้าใจว่าทำไมประสบการณ์ของเขา
    ถึงทำให้หลายคนบนโลกใบนี้สนใจและรู้ว่าสิ่งที่ดีหลายสิ่งก็เกิดขึ้น
    จากเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในโมกาดิชู

    “บางครั้งผมก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องพูดถึงเหตุการณ์เหล่านั้น

    แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว มันคือเหตุการณ์เมื่อตอนที่ศพของทหารอเมริกัน
    ถูกลากไปตามถนนหนทาง นั้นเป็นส่วนที่ความน่ากลัวและความช็อค
    ก้าวขึ้นไปอีกระดับ” ดูแรนท์กล่าว

    สื่อตีข่าวโหมกระหน่ำภายหลังจากที่ดูแรนท์เป็นอิสระ ในหลายๆทาง
    มีการนำสภาพหน้าของดูแรนท์แทนสภาพของการเกี่ยวข้องของสหรัฐในโซมาเลีย

    หน้าปกหนังสือ Time ที่วิจารณ์ถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องของกองทัพสหรัฐในโซมาเลีย


    ในขณะที่กระแสข่าวในขณะนั้นมันน่าเหลือเชื่อ

    เขาก็กล่าวว่าไฮไลท์สำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นในโซมาเลีย
    คือการที่กองทัพสหรัฐอเมริกามีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวในการทำสงครามสมัยใหม่
    เป็นสงครามที่ไม่ได้ทำการรบเหมือนเมื่อก่อน

    “หากเหตุการณ์ในโซมาเลียไม่ได้เกิดขึ้น

    พวกเราคงไม่พร้อมกับสงครามที่รับมือกับการก่อการร้าย” ดูแรนท์กล่าว
    “สำหรับผม มันเหมือนเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นท่ามกลางสิ่งที่แย่
    ผมเชื่ออย่างแท้จริงว่ามันทำให้พวกเราพร้อมสำหรับการต่อสู้

    ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน”

    ในระดับส่วนบุคคล ดูแรนท์กล่าวว่าประสบการณ์ของเขาในโซมาเลีย
    สร้างผลกระทบต่อชีวิตของเขาที่จะทำให้เขาไม่ลืมไปตลอดชีวิต 
    และได้นำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของเขา

    “หากผมพบเจอกับอุปสรรคหรือความยากลำบาก

    ผมจะลองมองด้วยมุมมองที่ว่าผมควรจะตายไปแล้ว” ดูแรนท์พูด
    “ผมได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตครั้งที่สอง

    ซึ่งตอนนี้ระยะเวลามันเกือบจะเท่ากับชีวิตแรกของผมแล้ว ณ จุดนี้”

    ด้วยทัศนคติในการดำเนินชีวิตของเขาแบบนั้น
    ทำให้ดูแรนท์พบกับความสำเร็จทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว
    และในด้านหน้าที่การงานใน “ชีวิตที่สอง” ของเขา

    ภายหลังไม่นานจากการเป็นอิสระของดูแรนท์
    ทางกองทัพบกสหรัฐได้บอกเขาว่าเขาไม่สามารถทำการบินเฮลิคอปเตอร์ได้อีกแล้วเนื่องจากการบาดเจ็บทางกายภาพของเขา

    แต่นั้นเป็นเพียงเชื้อไฟที่ทำให้เขาปรารถนาที่จะกลับไปนั่ง
    อยู่ในห้องนักบิน หลังจากเพียง 10 เดือนในการรักษาจากอาการบาดเจ็บ
    ดูแรนท์ก็ได้เข้าร่วมวิ่งในรายการแข่งขันวิ่งมาราธอนของนาวิกโยธิน
    ซึ่งเป็นความสำเร็จที่สร้างความมั่นใจให้กับเขา และทำให้เขาสามารถ
    กลับไปบินเฮลิคอปเตอร์ได้อีก 5 ปี

    เขากล่าวว่าตัวเขาเองคงไม่มีความกล้าที่จะก่อตั้งบริษัทของเขาขึ้นมา

    หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในโซมาเลีย
    เพราะประสบการณ์ของเขาทำให้เขามองเห็นโอกาส

    ที่มากมายนอกเหนือไปจากการเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์

    บริษัทของเขา Pinnacle Solutions
    เจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่เขาก่อตั้งมันขึ้นมาในปี ค.ศ. 2008
    อีกทั้งพนักงานของกว่า 85% ของเขานั้นก็เป็นอดีตทหารผ่านศึก

    ไมค์ ดูแรนท์ กับบริษัทของเขา Pinnacle Solution

    “สิ่งที่ตามมาหลอกหลอนได้หายไปแล้ว”

    วันนี้ ดูแรนท์กล่าวว่าการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขา

    เผชิญกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิตเท่าใดนัก
    เขายังสามารถเล่นฮ็อกกี้ได้อย่างปกติ

    แต่ก็เหมือนกับทหารผ่านศึกหลายราย เขากล่าวว่ากระบวนการรักษาทางจิตใจ

    ของเขานั้นค่อนข้างยาก

    ในขณะที่เขาไม่เคยประสบกับประสบการณ์ในเชิงลบที่เกี่ยวกับอาการ PTSD
    (ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง)

    เขายอมรับว่าเขาต้องรับมือกับความเศร้าโศกเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

    “มันมีบางช่วงที่ผมร้องไห้ทุกวัน” ดูแรนท์พูด
    “มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ดีๆก็รู้สึกขึ้นมา เพื่อนฝูงของผมเสียชีวิต
    และหากนั้นไม่กระทบกระเทือนจิตใจของคุณ คุณก็คงมนุษย์ที่แตกต่างไปจากผม”

    ดูแรนท์และลูกเรือของเขาถ่ายรูปคู่กับเฮลิคอปเตอร์แบล็ค ฮอว์ค รหัส Super 6-4

    ดูแรนท์คือคนทางขวามือสุดของรูป


    การบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของเขาช่วยให้ดูแรนท์รักษาจิตใจได้
    ทุกวันนี้เขาเดินทางข้ามประเทศ

    เพื่อพูดคุยถึงประสบการณ์ของเขากับหลายกลุ่มทั่วประเทศ

    “การบอกเล่าเรื่องราวเป็นวิธีการรักษาจิตใจที่ดีมากๆมาเป็นเวลานานแล้ว” ดูแรนท์กล่าว
    “ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ตัว แต่ทฤษฎีหนึ่งที่ผมมีไว้อธิบายว่า
    ทำไมผมถึงไม่ได้ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการที่เกี่ยวของกับอาการ PTSD
    ก็เพราะว่าผมได้บอกเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง”

    “สิ่งที่ตามมาหลอกหลอนผมได้หายไปแล้ว” เขากล่าวเพิ่ม

    ไมค์ ดูแรนท์ ขณะกำลังบอกเล่าประสบการณ์ของเขาในโซมาเลีย


    แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านภายหลังจากเป็นอิสระ ดูแรนท์กล่าวว่า
    กระแสความสนใจจากสื่อต่างๆส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขา

    กับครอบครัวของเขา โดยเฉพาะกับภรรยาคนแรกของเขา ลอร์รี่

    “สื่อนั้นก้าวก่ายชีวิตของผมอย่างเกินเหตุมาก
    และหากมันมีเรื่องใดก็ตามที่เป็นข่าวใหญ่
    สื่อพวกนี้ก็จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เนื้อหาของข่าวนั้นมา” ดูแรนท์กล่าว
    และพูดว่าการรับมือของเขากับสื่อต่างๆก็ “เป็นส่วนสำคัญ”

    ที่ทำให้เขารับมือกับการหย่าครั้งแรกของเขาได้ง่ายขึ้น

    ถึงแม้เขาจะต้องหย่า ดูแรนท์ก็กล่าวว่าประสบการณ์ของเขาในโซมาเลีย
    ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเขากับลูกๆทั้ง 6

    เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่เด็กมาก
    ก็ยังไม่เกิดตอนที่เฮลิคอปเตอร์ของเขาถูกยิงตก
    และประสบการณ์ของเขาในโซมาเลีย

    ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของครอบครัวเขา

    “ในบางครั้งนานๆที มันก็มีอะไรที่ทำให้ข่าวนี้กลับขึ้นมาเป็นที่สนใจ
    หรืออาจจะมีใครบางคนจดจำผมได้จากบางแห่ง

    และมันก็จะเป็นหัวข้อที่คนสนใจ และทุกคนก็จะรู้ ” ดูแรนท์
    “แต่นั้นไม่ใช่สิ่งนิยามความเป็นตัวตนของผม มันไม่ใช่สิ่งที่นิยามตัวตนของเรา

    มันไม่ได้นิยามอะไรเลย”

    และแม้ในชวงเวลาของเขาในโซมาเลียจะมีผลกระทบที่สำคัญต่อชีวิตของเขา
    ดูแรนท์ก็ไม่อยากให้ผู้คนมองเขาเป็นเพียงแค่

    “นักบินที่อยู่ในเหตุการณ์ Black Hawk Down”
    ดูแรนท์อยากให้ผู้คนมองเขาว่าเป็นชายที่ประสบความสำเร็จในฐานะพ่อและนักธุรกิจ

    อย่างไรก็ตาม ดูแรนท์กล่าวว่า
    เขาเข้าใจถึงการมีส่วนร่วมของเขา

    ในเรื่องราวที่จะปรากฎอยู่เด่นอยู่ในประวัติศาสตร์ไปตราบนานเท่านาน
    และวิธีที่มันหล่อหลอมให้เค้าเป็นคนที่เค้าเป็นอยู่ทุกวันนี้

    “ไม่ว่ามันจะฟังดูดีหรือไม่ ท้ายที่สุด
    เหตุการณ์ในโซมาเลียก็กลายเป็นสิ่งที่ดีมากที่เกิดขึ้นสำหรับผม
    เพราะผลกระทบที่มันมีต่อผมและโอกาสที่เข้ามาในชีวิตของผม” ดูแรนท์กล่าว

    “สิ่งที่เกิดขึ้นในโซมาเลียมันดีหรือไม่?
    ไม่ มันเป็นสิ่งที่แย่ แต่คุณรู้ไหม
    ผมว่ามันก็มันมีอะไรที่น่ากล่าวถึงกับเหตุการณ์อันย่ำแย่ที่มันเกิดขึ้น
    และหาทางที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องบวก”


    ไมค์ ดูแรนท์ ในปัจจุบัน


    ที่มา
    https://edition.cnn.com/2016/03/14/us/mike-durant-rewind/index.html