เขียนโดย Neil Fotre เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562
แปลโดย เทอดพงษ์ ฉายะรถี เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2563
เรียบเรียงโดย รณกฤต ศรีพุมมา เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2563
เรื่องราวเกี่ยวกับเชลยนักโทษในสงคราม (POW)
โดยทั่วไปจะหดหู่รันทดใจ เนื่องจากเรื่องราวมักเกี่ยวข้อง
กับการทุกข์ทนทรมาน ความยากลำบากที่ดูเหมือนจะไม่จบไม่สิ้น
อย่างไรก็ตาม สมาชิกหน่วยรบกรีน เบเร่ต์ ระดับตำนานคนหนึ่ง
ได้แปรเปลี่ยนเรื่องราวที่น่าเศร้ารันทดใจให้กลายเป็นเรื่อง
ที่น่าตื่นเต้นด้วยการต่อสู้อันทรงพลัง และ "เครา" ของเขา
พันเอก เจมส์ "นิก" โรว์ เป็นศิษย์เก่าสำเร็จการศึกษา
มาจากวิทยาลัยทางทหารของกองทัพสหรัฐที่เวสพอยท์
และเป็นอดีตสมาชิกสัญญาบัตรของหน่วยรบพิเศษ
ที่รับใช้ชาติในกองทัพบกสหรัฐในช่วงปี ค.ศ.1960 ถึง ค.ศ.1974
เขายังถูกเรียกตัวกลับไปรับราชการอีกครั้งในปี ค.ศ.1981
และได้เดินทางไปเป็นที่ปรึกษาให้กับกองทัพฟิลิปปินส์
ในปฏิบัติการโต้กลับกองโจรของกองทัพฟิลิปปินส์
แม้ในช่วงชีวิตของเขาจะผ่านเหตุการณ์มามากมายในหลายสมรภูมิ
แต่เรื่องราวที่เป็นตำนานของโรว์นั้นเกิดขึ้นในดงป่าดิบชื้น
ของประเทศเวียดนาม
โรว์ ขณะติดยศร้อยตรี ที่เวียดนาม
ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.1963 ร้อยตรีโรว์ (ยศในขณะนั้น)
กำลังเข้าสู่ช่วงเวลา 3 เดือน ของการเป็นที่ปรึกษาทางทหาร
ในเวียดนามใต้ ในขณะที่โรว์กำลังปฏิบัติภารกิจ
ในการขับไล่หน่วยรบเวียดกงออกจากหมู่บ้านเลอ กูร์
โรว์ถูกจับเป็นเชลยในขณะที่กำลังทำการยิงต่อสู้
พร้อมกับร้อยเอกหนุ่ม ฮัมเบอร์โต้ "ร็อคกี้" เวอร์ซาเช่
ผู้ที่จะได้รับเหรียญกล้าหาญขั้นสูงสุด Medal Of Honor ในอนาคต
โรว์ใช้เวลาด้วยการถูกจับเป็นเชลยนักโทษเป็นเวลาถึง 62 เดือน
( ราวๆ 5 ปี 2 เดือน) ในป่าดิบชื้นของเวียดนามใต้
ที่มีชื่อเรียกว่า "ป่าแห่งความมืดมิด"
ในช่วงเวลาที่เขาเป็นเชลยนักโทษ
โรว์ถูกทรมานและตกเป็นเหยื่อต่อการกระทำ
อันไร้มุนษยธรรมมาหลายครั้ง แต่ด้วยความที่โรว์
เป็นนักเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมและมีความพยายามสูง
โรว์พยายามหลอกเหล่าผู้คุมขังของเขาว่า
ตัวเขานั้นเป็นเพียงแค่วิศวกรที่ถูกเกณฑ์ทหารให้มารับใช้ชาติ
และด้วยการหลอกลวงของเขาทำให้โรว์ได้สบโอกาส
พยายามหลบหนีมาหลายต่อหลายครั้ง
เพื่อที่ตัวเขาจะได้รับอิสรภาพและกลับไปอยู่หน่วยของเขาอีกครั้ง
ภายหลังจาก 5 ปีที่พยายามควบคุมตัวโรว์ไว้เป็นเชลยศึก
ในที่สุดผู้คุมขังของเขาก็หมดความอดทนลง
สายข่าวของเวียดกงได้รับข่าวมาว่า ตัวตนที่แท้จริงของโรว์นั้น
คือเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง
ดังนั้น ทหารของกองทัพเวียดนามเหนือจึงตัดสินให้เขา
ได้รับโทษประหารชีวิต และตัวของโรว์นั้นจะถูกนำพาไปในป่า
เพื่อให้กองกำลังลาดตระเวนของเวียดกงสังหาร
แต่โรว์นั้นมีแผนอยู่ในใจ
ในช่วงขณะที่โรว์กำลังจะถูกสังหาร ผู้คุมขังโรว์ก็เสียสมาธิ
ไปกับเสียงเฮลิคอปเตอร์ของทหารอเมริกันที่พึ่งบินผ่านไป
โรว์จึงใช้โอกาสนั้นในการทำร้ายร่างกายเหล่าผู้คุมตัวเขา
และวิ่งไปในพื้นที่โล่งซึ่งเป็นบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์จะสามารถเห็นการโบกมือของเขาได้
ด้วยการอ้างอิงจากคำให้การของนักบินเฮลิคอปเตอร์
ถึงแม้ว่าโรว์จะแต่งตัวด้วยชุดดำที่มีลักษณะเหมือนทหารเวียดกง
แต่เคราอันหนาดำของเขาที่ยาวขึ้นในช่วงเวลาที่เขาถูกคุมขัง
เป็นเชลยนักโทษก็ช่วยให้นักบินสามารถระบุได้ว่า
โรว์นั้นเป็นคนอเมริกัน โรว์นั้นถูกช่วยเหลือในที่สุด
ในปี ค.ศ.1968 เขาก็ได้เดินทางกลับอเมริกาด้วยยศพันตรี
หนังสือของโรว์ 5 ปีสู่อิสระ (5 Years to Freedom)
ภายหลังจากที่ลาออกจากการรับราชการเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกสภาพคองเกรสของสหรัฐอเมริกา และได้แต่งหนังสือที่ชื่อว่า
"5 ปีสู่อิสระ (5 Years to Freedom)"
โรว์ก็ตัดสินใจดำเนินอาชีพทหารของเขา
ด้วยการเป็นกองกำลังสำรองของกองทัพบกสหรัฐ
และตัวเขาก็ได้กลับมาเป็นทหารอาชีพอย่างจริงจังในปึ ค.ศ.1981
พันโทโรว์ (ยศในขณะนั้น) ได้ออกแบบและสร้างหลักสูตร
ทางทหารด้วยตัวเอง โดยหลักสูตรนี้อิงมาจากประสบการณ์จริง
ของเขาที่ได้รับมาในช่วงที่เขาตกเป็นเชลยนักโทษ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการฝึกฝน
เจมส์ "นิก" โรว์ ในชุดเครื่องแบบ M81 Woodland
ขณะดำรงตำแหน่งยศพันโท
ในปี ค.ศ.1987 โรว์ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้บังคับบัญชาในกลุ่มที่ปรึกษาในประเทศฟิลิปปินส์ โรว์ได้ทำงานใกล้ชิดกับ CIA
และหน่วยข่าวกรองของทางการฟิลิปปินส์
ในการป้องกันและหยุดยั้งการปฏิวัติคอมมิวนิสต์
โรว์ถูกลอบสังหารในปี ค.ศ.1989 โดยรถยนต์ของเขา
ถูกโจมตีด้วยมือสังหารจากองค์กรคอมมิวนิสต์
ของกองกำลังประชาชนฟิลิปปินส์ใหม่
ในขณะที่เขากำลังสอนกลยุทธ์การต่อต้านการก่อการร้าย
และการรบแบบกองโจรให้แก่กองทัพของรัฐบาลฟิลิปปินส์
ตราอักษรของหลักสูตร SERE
เอาชีวิตรอด (Survival), หลบหลีก (Evasion),
ต่อต้าน (Resistance), และหลบหนี (Escape)
คือส่วนประกอบของหลักสูตร SERE
ที่ยังคงถูกสอนที่ศูนย์ฝึก พันเอกเจมส์ "นิก" โรว์
ที่ฐานทัพแมคคัล รัฐนอร์ธ แคโรไลน่า
ให้แก่นักเรียนหน่วยรบพิเศษ โดยการฝึกหลักสูตรนี้
เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการผ่านหลักสูตรหน่วยรบพิเศษ
ของกองทัพบกสหรัฐ
และเป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายว่าแม้จะเป็นหลักสูตรที่โหดหินที่สุด
แต่ก็สำคัญมากที่สุดในหลักสูตรการฝึกสอนของ
แวดวงหน่วยรบพิเศษ
หนึ่งในด่านสิ่งกีดขวางที่ว่ากันว่าโหดหินที่สุด
ในการฝึกหน่วยรบพิเศษมีชื่อว่า Nasty Nick
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชื่อของ พันเอกเจมส์ "นิก" โรว์
นักเรียนผู้ทดสอบการเป็นหน่วยรบพิเศษถูกอนุญาต
ให้สามารถไว้หนวดได้ในขณะที่กำลังเรียนศึกษา
หลักสูตร SERE ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ได้รับแรงบันดาลใจ
มาจากชื่อของศูนย์ฝึกที่สอนหลักสูตรนี้
แม้ว่านักเรียนจะเรียนจบไปแล้วและกำลังปฏิบัติการ
ในพื้นที่ต่างๆ การไว้ “ เครา “ ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งสิ่ง
ที่เหล่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษยังคงปฏิบัติอยู่ในทุกสมรภูมิ
ไม่ว่าเป็นที่อัฟกานิสถานหรืออิรักจนถึงปัจจุบัน
นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าการไว้เครานั้น จะช่วยสร้าง
ความเชื่อมั่น และจุดต่อรองกับบรรดาหัวหน้าเผ่า
หรือผู้นำในชุมชนตามความเชื่อแล้วนั้น
การไว้เคราก็ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการเป็นตัวช่วย
ในกรณีที่ถูกปิดล้อมหรือจับเป็นเชลยศึก หรือแม้แต่
การหลบหนีจากพื้นที่ข้าศึกผ่านการอำพรางด้วยชุด
หรือเครื่องแต่งกายข้าศึก
”เครา” ก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยให้ทีมช่วยเหลือ
รับรู้ว่านั่นคือคนอเมริกัน และ “ เครา “ ก็กลายเป็นอีก
หนึ่งสัญลักษณ์ ที่เจ้าหน้าที่พิเศษเลือกใช้ในการปฏิบัติหน้าที่
ในพื้นที่อันตรายทั่วโลกจวบจนปัจจุบัน ......