รอย เบดาวิเดซ - ชายผู้เข้าไปในสมรภูมิรบด้วยมีดเพียงเล่มเดียว Valor Tactical

เรื่องราวต่อไปนี้คือเรื่องจริงของนักรบจากหน่วยรบพิเศษสหรัฐนามว่า รอย เบดาวิเดซ

"Roy Benavidez - รอย เบดาวิเดซ"

         รอย เบดาวิเดซเกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ปี ค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) ตั้งแต่วัยเด็ก ชีวิตของรอยนั้นไม่ได้ราบรื่น พ่อแม่ของรอยนั้นเสียชีวิตตั้งแต่เขายังวัยเยาว์ รอยจึงถูกเลี้ยงดูโดยคุณปู่, คุณลุงและคุณน้าของเขาแทนและต้องออกจากโรงเรียนเมื่อเขาอายุ 15 เพื่อที่รอยนั้นจะได้ออกมาทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

         รอยเริ่มชีวิตทหารอาชีพในปี ค.ศ.1952 (พ.ศ.2495) เมื่อเขาได้เข้าร่วมกับกองกำลังป้องกันมาตุภูมิรัฐเท็กซัส (Texas Army National Guard) ในช่วงของสงครามเกาหลี ในปี ค.ศ.1955 (พ.ศ.2498) เขาได้ปรับย้ายตัวเองไปอยู่เหล่าทัพบกแทนและเข้าร่วมกับหน่วยพลร่มที่ 82 กองทัพบกสหรัฐ (82nd Airborne Division) ต่อมารอยได้ทำการฝึกซ้อมและสมัครเข้าหน่วยกรีน เบเร่ต์ซึ่งรอยนั้นได้ผ่านการทดสอบและได้รับเลือกให้เป็นกรีน เบเร่ต์ในที่สุด ซึ่งรอยนั้นได้อยู่กับหน่วยรบพิเศษที่ 5 (5th Special Forces Group) และในปี ค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) เขาได้แต่งงานกับ ฮีราเรีย เบนาวิเดซ

"รอย เบดาวิเดซ ครั้นที่เขาฝึกอยู่โรงเรียนพลร่ม"

 

         ในปี ค.ศ.1965 รอยได้ถูกส่งไปยังเวียดนามใต้ในฐานะที่ปรึกษาทางทหารแก่กองทัพเวียดนามใต้ ในระหว่างนั้นเขาได้ปฎิบัติภารกิจลับด้วยนั้นก็คือการออกลาดตระเวนหาข่าวเพียงคนเดียว โดยที่เขาต้องแต่งกายเป็นฝ่ายเวียดกงและสืบหาข้อมูลว่าด้วยเรื่องของการช่วยเหลือฝ่ายเวียดกงโดยฝ่ายเวียดนามเหนือหรือไม่ ในระหว่างที่เขาออกลาดตระเวนนั้นเขาได้เดินไปเหยียบกับระเบิดซึ่งแรงระเบิดนั้นทำให้เขาหมดสติไป ในช่วงเวลาใกล้เคียงนั้น รอยก็ถูกพบเจอโดยหมู่ลาดตระเวนของนาวิกโยธินสหรัฐ ซึ่งในตอนแรกทหารนาวิกโยธินสหรัฐคิดว่าร่างของรอยนั้นเป็นกับดักแต่เมื่อพวกเขาพลิกร่างของรอยก็พบว่าชายที่อยู่ในชุดเวียดกงนั้นไม่ใช่ชาวเอเชียแต่เป็นชาวฮิสแปนิกและมีด็อกแท็กกองทัพบกสหรัฐอยู่ เหล่านาวิกโยธินจึงได้เคลื่อนย้ายรอยออกจากพื้นที่

"Roy Benavidez - รอย เบดาวิเดซ"

 

         รอยตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาลของกองทัพสหรัฐในฐานทัพอากาศคล๊าก ประเทศฟิลิปินส์ ณ จุดๆ นั้น ช่วงล่างตั้งแต่ขาลงไปของรอยนั้นเป็นอัมพาตและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เมื่อรอยถูกส่งตัวมารักษาต่อที่สหรัฐอเมริกา หมอได้กล่าวกับรอยว่าเขาจะ ไม่มีวันเดินได้อีกและเขาจะต้องถูกปลดประจำการ ถึงอย่างไรนั้นทุก ๆ คืนรอยคลานออกจากเตียงโดยใช้เพียงแค่ ศอกและ คาง และคลานออกไปยังกำยังกำแพงจากนั้นรอยจะพยายามทำให้ตัวเขานั้นอยู่ในท่ายืน เพื่อขนานกับกำแพงซึ่งรอยนั้นทำอยู่หลายเดือนโดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือ จนกระทั่งเขาสามารถเริ่มกระดิกนิ้วเท้าได้และต่อมาขยับเท้าได้จนในที่สุด รอยสามารถยืนขึ้นพิงขนานกับกำแพงได้ หลังจากพักรักษาตัวและความพยายามของรอยขณะที่เขาอยู่โรงพยาบาลร่วมปี ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1966 (พ.ศ.2509) รอยได้เดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับภรรยาของเขา ถึงแม้ยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ รอยก็ยังยืนยันที่จะกลับไปรบที่เวียดนามจะกระทั่งในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) รอยได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนามใต้อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับนามเรียกขานใหม่ว่า “Tango Mike Mike” หรือ “TMM” ซึ่งตัวของรอยนั้นเป็นผู้เลือกรหัสตัวอักษรเหล่าเองเพราะเขาต้องการให้มีนัยยะความหมายว่า “That Mean Mexican” หรือที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า เม็กซิกันจอมโหดผู้นั้น นั่นเอง

"ฐานปฎิบัติการของหน่วยรบพิเศษสหรัฐในล๊อก นินห์ (Lộc Ninh)"

 

         ในวันที่ 2 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) ระหว่างที่รอยกำลังรำพึงพระวาจาประจำวันอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือที่มีแต่ความตื่นตระหนกมาจากวิทยุซึ่งเสียงนั้นเป็นเสียงที่มาจากแนวหน้าในล๊อก นินห์ (Lộc Ninh) ใกล้กับชายแดนของประเทศกัมพูชา เสียงเหล่านั้นเป็นเสียงของทีมลาดตระเวนจำนวน 12 นายซึ่งในนั้นมีทหารสหรัฐจำนวน 3 นายได้แก่ จ่าสิบโท ลอยด์ เฟรนชี่ มุซโซ (SSG.Lloyd Frenchy Musso), ผู้ชำนาญการพิเศษ 4 (เทียบเท่ายศสิบโท) ไบรอัน โอ คอนเนอร์ (Specialist (4) Brian O’Connor) และจ่าสิบเอก ลีรอย ไรท์ (SFC.Leroy Wright) และทหารชนเผ่าม้งภายใต้โครงการ CIDG อีก 9 นาย ซึ่งลีรอยนั้นยังเป็นเพื่อนสนิทของรอยอีกด้วย ซึ่งในระหว่างที่พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ภารกิจลาดตระเวนอยู่นั้นพวกเขาได้ถูกทหารฝ่ายเวียดนามเหนือระดับกองพันโอบล้อมเข้า ณ ตอนนั้น เฮลิคอปเตอร์ได้ถูกส่งไป 3 ลำแต่ก็ไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายทหารทั้ง 12 กลับมาได้ เนื่องจากถูกระดมยิงใส่อย่างหนักหน่วง รอยที่ได้ยินเสียงอันตื่นตระหนกของพวกพ้อง เขานั้นก็ไม่รีรอ รีบขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งที่กำลังจะบินกลับไป ณ ตำแหน่งของทหารทั้ง 12 นาย  โดยที่เขาหยิบไปเพียงแค่มีดโบวี่และกระเป๋าพยาบาลจำนวนหนึ่งเท่านั้น

 

จ่าสิบเอก ลีรอย ไรท์ (SFC.Leroy Wright)

จ่าสิบโท ลอยด์ เฟรนชี่ มุซโซ (SSG.Lloyd Frenchy Musso)

 

         เนื่องจากทีมลาดตระเวนถูกทหารเวียดนามเหนือล้อมไว้จึงทำให้เฮลิคอปเตอร์นั้นต้องลงจอดห่างจากจุดของพวกเขาเกือบ 70 เมตร ซึ่งในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังลงจอด รอยนั้นกระโดดและรีบวิ่งไปยังจุดที่ทีมลาดตระเวนกำลังปะทะอยู่ ซึ่งระหว่างที่เขาวิ่งไปนั้นรอยได้ถูกกระสุนนัดแรกยิงเข้าที่ขาขวาแต่เขาก็ยังวิ่งไปต่อ เขาได้พบกับลอยด์เป็นคนแรก ตัวลอยด์นั้นพิงอยู่กับต้นไม้ เขาถูกยิงเข้าที่ตาขวาทำให้ตาของเขาห้อยออกมาแต่ยังทำการยิงตอบโต้อยู่ รอยได้ทำแผลเบื้องต้นให้กับลอยด์จากนั้นเขาได้ทยอยนำคนที่เขาพบเจอที่ยังมีชีวิตอยู่มาไว้อยู่ที่เดียวกันเพื่อเสริมให้เป็นจุดที่มั่นป้องกันและให้มอร์ฟีนแก่ผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ หลังจากนั้นเขาได้พบเห็นไบรอันและล่ามชาวม้งอยู่ห่างจากตำแหน่งจุดที่มั่นป้องกัน เขาได้บอกให้ทั้งสองคลานมาหาเขาแต่ฝ่ายเวียดนามเหนือยิงกดดันหนักเกินกว่าที่พวกเขาจะคลานออกมาได้ จึงได้แต่หมอบอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม กระสุนอีกนัดหนึ่งได้ถูกยิงเข้าที่ต้นขา แต่เพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งไหลอยู่ ณ ตอนนั้น จึงทำให้เขาไม่รู้สึกอะไร รอยได้ขว้างระเบิดควันเขียวเพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอดรับผู้บาดเจ็บ ต่อมาเขาใช้ปืน AK ของข้าศึกยิงตอบโต้เพื่อให้ไบรอันและล่ามชาวม้งสามารถคลานออกมาจากตำแหน่งของพวกเขาและขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปได้ และในที่สุด รอย ก็ได้พบกับร่างของ ลีรอย ที่ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมกับเอกสารและอุปกรณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตกไปอยู่ในมือของข้าศึกได้ ซึ่งในขณะที่รอยกำลังลากร่างของลีรอยไปที่เฮลิคอปเตอร์นั้น รอยได้ถูกยิงเข้าที่ช่วงท้องและถูกสะเก็ดระเบิดจากระเบิดมือที่ระเบิดใกล้ตำแหน่งของเขา ซึ่งการระเบิดทำให้เขาหมดสติไปชั่วขณะ เมื่อเขาได้สติเขารู้ทันทีว่าเขาไม่สามารถลากร่างของเพื่อนเขาไปได้ทำให้รอยนั้นต้องจำใจทิ้งร่างของเพื่อนเขาไว้

"ทหารชนเผ่าม้งในโครงการ CIDG ของสหรัฐ"

 

 

         ราวกับเคราะห์ซ้ำกระหน่ำซัดเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำที่มารับคนเจ็บไปก่อนหน้าได้ตกลงสู่พื้นเนื่องจากถูกกระหน่ำยิงจากข้าศึก ทหาร 5 นายรวมถึงลีลอยนั้นรอดจากเครื่องตก ไบรอันและล่ามชาวม้งปลอดภัย เนื่องจากไม่ได้ขึ้นเครื่อง ส่วน รอย ที่บาดเจ็บ ได้ทยอยพาผู้รอดชีวิตออกจากซากเครื่องและสร้างจุดรวมพลบริเวณที่เครื่องตก ทั้งนี้ได้มีเครื่องบินรบ F-100 ให้การสนับสนุนทางอากาศด้วยการทิ้งระเบิดนาปาล์มใส่ที่มั่นของข้าศึกเป็นระยะ หลังจากที่รอย ได้ให้มอร์ฟีนเข็มที่ 3 แก่ ไบรอัน เขาถูกยิงเข้าที่ขาซ้าย ในขณะที่สถานการณ์ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ก็ได้มาช่วยพวกเขาในที่สุด รอยและทีมกู้ภัยได้ทยอยนำร่างของผู้บาดเจ็บขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แต่เนื่องด้วยพื้นที่ลงจอดยังคงถูกกระหน่ำยิงจากฝ่ายเวียดนามเหนือและเข้าใกล้ตำแหน่งมากถึงขนาดที่ทหารเวียดนามเหนือนายหนึ่งได้ใช้พานท้ายไม้ของปืน AK กระแทกไปที่กรามของรอย ถึงกระไรนั้นรอยได้สู้กลับด้วยการใช้มีดโบวี่ของเขากระหน่ำแทงไปที่ทหารเวียดนามรายนั้น จากนั้นเขาได้กลับไปพื้นที่ปะทะและพาทหารชาวม้งคนสุดออกมารวมถึงรวบรวมเอกสารลับต่างๆ จนถึง ณ จุด ๆนี้รอยได้มีบาดแผลหลายจุดทั่วร่างกาย รวมถึงตาที่ยากที่จะมองเห็นเนื่องจากเลือดที่คลั่งในตาและกรามที่หัก เหนือสิ่งอื่นใดลำไส้ของเขาได้ไหลออกมาเนื่องจากแผลที่ช่วงท้องเขาซึ่งรอยนั้นได้ใช้มือของเขาพยุงเครื่องในของเขาไว้ และจนเมื่อทุกคนขึ้นแล้ว รอยจึงยอมให้หน่วยกู้ภัยได้ลากร่างของเขาขึ้นเครื่องเป็นอันสิ้นสุด 6 ชั่วโมงในนรกของเขา

"บาดแผลต่างๆบนร่างกายของรอยรวม 37 แผล"

 

         เมื่อเฮลิคอปเตอร์ได้ลงจอดที่ฐาน แพทย์และเสนารักษ์ประจำฐานได้รุดเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บต่างๆในทันที และทำการคัดแยกผู้บาดเจ็บ ในส่วนของผู้เสียชีวิตนั้นได้ถูกทยอยนำร่างใส่ถุงเก็บศพ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีร่างของรอยอยู่ด้วย รอยในขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่สามารถลืมตาได้เนื่องจากคราบเลือดที่แห้งนั้นได้แห้งปิดตาเขาอยู่ และรอยก็ไม่มีแรงมาพอแม้แต่ที่จะเปิดตาด้วยมือของเขาเอง เพื่อนของรอยซึ่งจำรอยได้ตะโกน “นั่นรอยนี่ ตามหมอเร็ว เมื่อหมอมาถึง หมอได้เช็คชีพจรของรอยซึ่งหมอได้กล่าวว่าไม่มีอะไรที่หมอสามารถทำได้แล้ว ซึ่งในขณะที่รอยกำลังถูกหมอรูดซิบถุงเก็บศพแล้ว รอยได้รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายและถุยน้ำลายใส่หน้าของหมอ หมอจึงได้กล่าวว่า เขาอาจจะรอด โดยรวมแล้วรอยมีแผลทั่วร่างกายเขาทั้งหมด 37 แผล จากทั้งกระสุน, ดาบปลายปืนและสะเก็ดระเบิด ต่อมา รอยได้ถูกตัวไปผ่าตัดที่ศูนย์การแพทย์ทหารบก บรู๊ก, ค่ายทหาร ฟอร์ต แซม ฮูสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

"รอยรับมอบเหรียญ Distinguished Service Cross จากนายพลวิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์"

 

         จากวีรกรรมของรอยที่เขาได้ช่วยเหลือ 8 ชีวิตให้รอดจากภัยอันตราย (ทหารชนเผ่าม้งเสียชีวิต 4 นาย) ทำให้รอยได้รับเหรียญ Distinguished Service Cross และ Purple Heart อีก 4 เหรียญ และในปี 1981 (2524) เนื่องด้วยขั้นตอนที่ใช้เวลาอันยาวนาน รอยได้รับเหรียญ Medal of Honor จากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน และเขายังได้กล่าวอีกว่า หากเรื่องราวความกล้าหาญของเขาถูกเอามาทำเป็นบทหนัง คุณคงไม่เชื่อแน่ๆ

"รอยถ่ายรูปร่วมกับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนภายหลังพิธีมอบเหรียญ Medal of Honor"

 

         รอย เบนาวิเดซเสียชีวิตในวันที่ 19 พศจิกายน ค.ศ.1998 (2541) ด้วยวัย 63 ปี ณ ศูนย์การแพทย์ทหารบก บรู๊ก ด้วยโรคทางเดินหายใจล้มเหลวและโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน เขาถูกฝังที่สุสานทหาร ค่ายแซม ฮูสตัน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

"เรือ USNS Benavidez ที่ถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ รอย เบดาวิเดซ"

ทิ้งข้อความไว้

ความคิดเห็นทั้งหมดจะถูกกลั่นกรองก่อนที่จะเผยแพร่

Blog posts

View all