อีกหนึ่งมุมมองที่ไม่ได้อยู่ในหนัง Black Hawk Down เรื่องเล่าเหตุการณ์จริง จาก Seal Team 6 ที่อยู่ในเหตุการณ์ Valor Tactical

เรื่องราวของปฎิบัติการ Gothic Serpent ที่เมืองโมกาดิชู
ประเทศโซมาเลีย ในปี ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) 

เป็นหนึ่งในภารกิจที่สร้างความเสียหายทั้งชื่อเสียง และ กำลังพล
ในประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐ ได้ถูกนำมาเรียบเรียงเป็นบันทึก
หนังสือ และไปจนถึงภาพยนตร์ Black Hawk Down ที่ทุกท่านรู้จัก
และคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

ภาพยนตร์ได้กล่าวถึง กองพันทหารราบที่ 3, 75th Ranger, Delta Force,
นักบิน 160th SOAR - Special Operations Aviation Regiment (Night stalker)
และ PJ กองทัพอากาศ ที่รวมเป็นกำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์(Task Force Ranger)
รวมไปถึง 10th Mountain Division และ กำลังพลของปากีสถาน สังกัด UN



แต่ภาพยนตร์ไม่เคยได้กล่าวถึงกำลังพล NAVY SEALS ทีม 6
ที่เข้าร่วมภารกิจจู่โจม และ จับกุมแกนนำความขัดแย้งนี้
อีกทั้งพวกเขายังได้รับเหรียญ Silver Stars
จากการกระทำอันกล้าหาญในศึกครั้งนั้นอีกด้วย

โฮวาร์ด วาสดิน (HT1 Howard Wasdin) ได้สมัครเข้าร่วมกองทัพเรือ
ในปี ค.ศ. 1983 ในตำแหน่ง ผู้ปฎิบัติการอาวุธต่อต้านเรือดำน้ำ
และ กู้ภัยทางน้ำประจำการ กองร้อยต่อต้านเรือดำน้ำที่ 7
(HS-7/Anti-Submarine Squadron 7)
และเขายังเคยรอดชีวิตจาก เหตุเฮลิคอปเตอร์ตกบนพื้นทะเล
ในระหว่างปฎิบัติภารกิจของกองทัพเรือ

ก่อนที่จะสมัครเข้ากองทัพเรือใหม่อีกครั้ง และ
สอบเข้ารับการฝึก BUD/S (โปรแกรมฝึกคัดเลือก SEALS 24 สัปดาห์)
วาสดิน ได้จบหลักสูตร SEALS รุ่น 143 ณ ปี 1987 เดือนกรกฎาคม
และที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมกับ SEALS ทีม 2 ที่ Little Creek, Virginia

เขาได้ผ่านสมรภูมิ สงครามอ่าวเปอเซียร์ ประจำการในภูมิภาคยุโรป
และ ตะวันออกกลาง ก่อนที่เขาจะอาสาเข้าร่วมกับ หน่วยปฏิบัติการ
สงครามพิเศษกองทัพเรือ เป็นที่รู้จักในนาม DEVGRU หรือ SEALS ทีม 6
ณ พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1991 วาสดิน ผ่านการฝึกพิเศษคัดเลือก
เพื่อเข้าร่วมกับ DEVGRU เป็นเวลา 8 เดือน
และผ่านการฝึกพลซุ่มยิงสอดแนมนาวิกโยธิน ในภายหลัง


โฮวาร์ด วาสดิน (ลำดับที่ 2 จากซ้าย) ถ่ายภาพร่วมกับเพื่อนๆ ชุดซุ่มยิง DEVGRU

สิงหาคม ค.ศ. 1993 วาสดิน เข้าร่วมการส่งกำลังพล ที่เมืองโมกาดิชู
พร้อมกับชุดซุ่มยิง อีก 3 นาย จาก SEALS ทีม 6 และเพื่อนๆคู่หูพลชี้เป้า
ของพวกเค้า และผู้บัญชาการ เอริค ธอร์ โอลเซน
เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ กำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์(Task Force Ranger)

ภารกิจหลักของกำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์ คือการจับกุมตัว
มูฮัมหมัด ฟาร่า ไอดิด ผู้ซึ่งสร้างวีรกรรมนำกำลังพล
เข้าปล้นชิงขบวนขนส่งเสบียง
และ ศูนย์กระจายเสบียงอาหาร ของ UN

เมื่อเวลานำพามาถึงรุ่งเช้าของวันเข้าจู่โจม และ จับกุม
ชุดลาดตระเวนการข่าว CIA ทีม 4 นาย ได้กลับที่ลานบินฐานที่มั่น
จากภารกิจวางเครื่องกระจายสัญญาณ ในเมืองโมกาดิชู
ก็ได้พบกับ กำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์ ที่กำลังสาละวนแต่งกาย
และ เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์อยู่
การข่าวที่ช่วยขับเคลื่อนภารกิจนั้นถูกส่งต่อ และ สร้างแผนเข้าจู่โจม อย่างเร่งรีบ

รวมไปถึง วาสดิน และ ผองเพื่อน SEALS ก็ได้รับมอบหมาย
ให้เข้าร่วมปฎิบัติภารกิจ ทั้งในและโดยรอบบริเวณเมืองโมกาดิชู
จาก ผู้บัญชาการ โอลเซน

"นายจะต้องเข้าร่วมกับทีมคุ้มกัน เดลต้าจะโรยตัวเข้าตัวอาคาร
พวกนายเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัย และถอนตัวออกมากับขบวนรถ"
ผู้บัญชาการ โอลเซนกล่าว ก่อนที่จะตบไหล่ วาสดิน เบาๆ
และพูดต่อไปอีกว่า "มันควรจะใช้เวลาไม่นาน โชคดีนะ
แล้วเจอกันตอนที่พวกนายกลับมา " สิ้นประโยคนั้น วาสดิน
และ ผองเพื่อน ก็กระโจนขึ้นรถที่จัดเตรียมไว้ในขบวน
และ เคลื่อนตัวเข้าสู่ตัวเมือง

หลังจากขบวนรถเข้าสู่ตัวเมืองได้ไม่นาน ขบวนรถก็ถูก
กองกำลังของไอดิด ดักซุ่มโจมตียิงเข้าประปราย
รถฮัมวี่ของ SEALS ซึ่งพวกเค้าเรียกว่า "คิ้ววี่ (Cutvee)"
ไม่ได้ติดตั้ง หลังคา ประตู หน้าต่าง ใดๆเลย
การป้องกันของตัวรถมีเพียง ตัวเครื่องด้านหน้าของรถ และ
แผงเกราะเคฟล่าที่ปูใต้ท้องรถสำหรับป้องกันสะเก็ดกับระเบิด
ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นเลย

ระหว่างทางไปสู่อาคารเป้าหมาย ลิตเติ้ลบิ้กแมน (Little Big Man)
1 ในเพื่อนร่วมทีมของวาสดิน รู้สึกถึงแรงกระแทก สั่นสะเทือนเข้าที่ขา
จึงร้องตะโกนออกมาว่า "บ้าเอ้ย ฉันถูกยิง" วาสดินได้ยิน
จึงไม่รอช้าหยุดรถกระทันหันและหันไปสำรวจเพื่อนของเขา
จึงพบว่า บนตัวลิตเติ้ลบิ้กแมน ไม่มีเลือดให้เห็นซักหยดเดียว
แต่กลับกัน วาสดิน เห็นมีดต่อสู้ ที่ซองรัดต้นขาลิตเติ้ลบิ้กแมนอยู่นั้น
หักครึ่งและทิ้งเพียงรอยช้ำแดงบนขาของเพื่อนร่วมทีมของเขา
โชคยังเข้าข้างที่มีดเล่มนั้นรับแรงทั้งหมดของลูกกระสุนแทน
ที่จะเป็นขาของลิตเติ้ลบิ้กแมน


(นั่งคุกเข่า, จากซ้ายไปขวา) ลิตเติ้ลบิ้กแมน, คาซาโนว่า, วาสดิน, เซาเออร์พุส, และเจ้าหน้าที่ของ กำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์(Task Force Ranger)

ในที่สุด ขบวนรถ ก็เคลื่อนกำลังเข้าถึงอาคารเป้าหมาย ทีมของ SEALS และ 75th Ranger ก็ได้กระจายตัว วางกำลังป้องกันรอบอาคาร
ในขณะเดียวกับที่ Delta Force โรยตัวเข้าอาคารจากบนหลังคา

วาสดิน ขณะที่กำลังปิดล้อมอาคารเป้าหมาย ก็ได้เข้าปะทะยิงต่อสู้กับ
กองกำลังของไอดิดที่ซุ่มโจมตีที่ยิงจากหลังคาอาคารโดยรอบอาคารเป้าหมาย
ด้วยปืนประจำกาย CAR-15 เป็นเวลากว่า 30 นาที
ก่อนที่จะได้ยินเสียงวิทยุเรียกกำลังพลให้กลับขึ้น ขบวนรถ
ในเสี้ยววินาทีที่สิ้นเสียงวิทยุ วาสดิน ถูกลูกกระสุน แฉลบเข้าที่ด้านหลังเข่าข้างซ้าย
"ในตอนนั้นผมขยับตัวไม่ได้เลย" วาสดินเล่าถึงความรู้สึกในขณะนั้น
และต่อมา คาซาโนว่า เพื่อนร่วมทีม SEALS ของวาสดิน ด้วยไหวพริบตอบสนอง
ชิงจัดการศัตรูตรงหน้าแทนวาสดิน
ในขณะที่ แดน ชิลลิ่ง CCT กองทัพอากาศลากตัววาสดินเข้าที่กำบัง
และทำการห้ามเลือด ปฐมพยาบาล 

ผ่านไปเป็นเวลา 37 นาที กับการปฎิบัติภารกิจที่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงวิทยุที่ดังขึ้นร้องบอก
เปลี่ยนโฉมหน้าภารกิจ และ ชีวิตของวาสดิน จากหน้ามือเป็นหลังมือ

"ซุปเปอร์ ซิกซ์ วัน ดาวน์" (“Super Six One down.”)

แบล็คฮอว์ค บินโดย หัวหน้าเจ้าหน้าที่พิเศษ ระดับ 3 คลิฟ"เอลวิส"วอลคอต
(CW3 Cliff “Elvis” Wolcott)
ลำแรกถูกจรวด RPG ยิงตก เปลี่ยนภารกิจจู่โจมกลายเป็นภารกิจช่วยเหลือกู้ภัย

วาสดิน หลังจากที่ได้รับการรักษา และสามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
ก็ไม่รอช้า กระโดดขึ้นหลังพวงมาลัย พร้อมด้วยทีม SEALS
ขึ้นรถ ฮัมวี่ คิ้ววี่ คันเดิมของพวกเขา วาสดินจับพวงมาลัยด้วยมือซ้าย และ CAR-15 ในมือขวาของเขา มุ่งหน้าไปที่จุดตก แบล็คฮอว์คของ วอลคอต

ขณะที่กำลังขับรถไปที่จุดตกนั้น พวกเขาตรวจการมองเห็น
หญิงชาวโซมาเลีย 5 คน เดินลัดเลาะตามขอบถนน
ในท่าทางแปลกๆ ไหล่ชนไหล่ คลุมผ้าสีสันฉูดฉาด ยืดคลุมข้างลำตัวของพวกเธอ

และในจังหวะที่รถฮัมวี่ กำลังผ่านทางถนนถึงตำแหน่งที่พวกเธอกำลังเดินอยู่
หญิงโซมาเลีย 5 คนนั้น เปิดผ้าคลุมออกเผยให้เห็น
ชายโซมาเลียติดอาวุธอีก 4 คน ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง

วาสดินตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
นิ้วโป้งสะกิดเปลี่ยนโหมดการยิงของ CAR-15 เป็น ฟูลออโต้
กราดยิงไม่ละนิ้วจากโกร่งไก แมกกาซีน 30 นัดเกลี้ยงหายไป
พร้อมกับร่างชาวโซมาเลียทั้ง 9 ที่ทรุดลงไปนอนกองกับพื้น

"ถูกตัดสินด้วยคนทั้ง 12 ยังดีกว่าที่จะต้องถูกแบกด้วยคนทั้ง 6"
( เป็นสำนวนของทหารสหรัฐ แปลเป็นสำนวนไทยง่ายๆว่า
ยอมขึ้นศาล ดีกว่าถูกแบกขึ้นเมรุ )

วาสดิน เล่าอธิบายการกระทำของเขา

หลังจากนั้นอีกไม่นาน สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกระดับ
เมื่อสิ่งที่พวกเขาได้ยินผ่านเสียงวิทยุว่า
แบล็คฮอว์ค รหัสเรียกขาน ซุเปอร์ ซิกซ์ โฟว์ (Super Six Four)
บินโดย หัวหน้าเจ้าหน้าที่พิเศษ ระดับ 3 ไมค์ ดูแรน ถูกยิงตกอีกหนึ่งลำ

ด้วยแบล็คฮอว์คที่ตกถึง 2 ลำ กระสุนที่ร่อยหรอ ผู้บาดเจ็บอยู่เต็มคันรถ
ชาวโซมาเลียทั้งเมืองวิ่งไล่ล่า ทหารชาวอเมริกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกลายเป็นฝันร้าย
บีบคั้นหัวใจกำลังพลทุกนายของ กำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์


จ่าสิบโท แรนดี้ ชูการ์ต และ จ่าสิบโท แกรี่ กอร์ดอน ผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญหลังจาก วีรกรรมบุกเข้าช่วยเหลือ ไมค์ ดูแรน ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะไม่สามารถต้านทาน กองกำลังของไอดิด ได้

ความเลวร้ายทั้งหมดยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อ การสื่อสารระหว่าง เครื่องบินตรวจการณ์ของศูนย์สั่งการและควบคุมภารกิจร่วม และ หัวหน้าขบวนรถ เกิดความสับสนเข้าใจผิด

พวกเขานำพาขบวนรถ ไปยังจุดตกที่ใกล้ที่สุด
แทนที่จะต้องไปยังจุดตกที่แรก เป็นผลให้พวกเขาต้องเคลื่อนขบวนรถฝ่าฝนกระสุน
ผ่านช่วงตึกเป็นวงกลมรอบตัวอาคารแรก ที่ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของภารกิจ

แม้แต่ ลิตเติ้ลเบิร์ด (AH-6J Little birds) เฮลิคอปเตอร์จู่โจมที่บินยิงสนับสนุนทางอากาศ ในพื้นที่ปะทะ ยังได้รับความตึงเครียดจากรูปแบบภารกิจที่บิดเบี้ยว

เพียงไม่นานกระสุนที่บรรจุสำรอง เพื่อการสนับสนุนทางอากาศก็หมดลง
นักบินลิตเติ้ลเบิร์ด ตัดสินใจบินจ่อเข้าใกล้ หลังคาอาคารโดยรอบ
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ของกองกำลังไอดิด จากการรุมกระหน่ำยิงขบวนรถ

"พวกเขาไม่ได้ทำมันเพียงครั้งเดียว แต่มากถึง 6 ครั้ง จากที่ผมจำความได้"
วาสดิน เล่าถึง วีรกรรมความกล้าหาญของฝูงบิน ไนท์ สตอล์คเกอร์
(160th SOAR - Night Stalker)
"พวกนักบิน 160 ของเรา มันโคตรสุดโต่งเลย ใช้ตัวเองเป็นเป้าล่อ
และมันได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้"

กำลังพลของไอดิด มีจำนวนมากเป็นกองภูเขา จนกระสุน 5.56
ของวาสดินที่พกมาเกลี้ยงกระเป๋า แม้แต่กระสุนที่หยิบมาจากเรนเจอร์
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและนอนอยู่หลังรถคิ้ววี่ที่ให้เขามา จนทำให้ วาสดิน
จำเป็นต้องชักปืนพก SIG กระสุน 9 มม. ของเขาขึ้นมาต่อกร
กับกองกำลังไอดิดที่ดาหน้าวิ่งเข้าใส่ขบวนรถอย่างไม่รู้จักหมดสิ้น

เป็นจังหวะเดียวกับที่ขบวนรถชะลอตัว ทหารของไอดิด 1 คน
โผล่ออกมาจากประตูบ้านที่ตำแหน่งใกล้เขาที่สุด พร้อมอาวุธปืน AK-47
วาสดิน เข้าปะทะแลกกระสุนกับทหารของไอดิด กระสุน 2 นัดแรกของวาสดินพลาดเป้า แต่กระสุน 7.62 ลั่นสวนเจาะเข้าที่กระดูกน่องขาด้านใน ของวาสดิน
ก่อนที่ วาสดินจะยิงซ้ำ อีก 2 นัด ดับลมหายใจของทหารไอดิดผู้นั้น

ขาขวาอันไร้เรี่ยวแรงของ วาสดิน ห้อยขนาบข้างตัวรถ คิ้ววี่ ซึ่งไม่มีประตู
วาสดินขอสลับที่นั่งกับ คาซาโนว่า ให้ขึ้นมาขับรถแทนเขา
และทำให้วาสดินได้ยิงคุ้มกันต่อไป แต่หลังจากนั้นไม่เกิน 5 ถึง 10 นาที
วาสดินก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งที่ 3 เข้าที่ข้อเท้าซ้ายของเขา
"อารมณ์ของผมต่อกองกำลังของศัตรูนั้น เดือดทะลุปรอด" วาสดินกล่าว

"แต่เพียงเสี้ยววินาที ผมก็เริ่มฉุกคิดได้ว่า ผมกำลังเจอตอเข้าแล้ว"
เมื่อรถ คิ้ววี่ ขับผ่านเหยียบกับระเบิด โชคยังดีที่แผงเกราะเคฟล่าใต้ท้องรถ
ช่วยชีวิตทุกคนบนรถคันนั้นไว้ แรงระเบิดทำให้เครื่องรถคิ้ววี่หยุดทำงาน
และชะงักไปชั่วคราว

ด้วยร่องรอยกระกระสุนถึง 3 รู บนตัววาสดิน
มันทำให้เขานึกถึงภาพยนตร์เรื่องโปรดของเขาเรื่องหนึ่ง "The Alamo"
เขาจะไม่ยอมแพ้หากยังมีแรงสู้ต่อ วาสดินรวบรวมสติและกำลัง
ยิงคุ้มกันเพื่อนร่วมทีมของเขา

"เอาความจริงนะ ตอนนั้นผมไม่มีแรงพอที่จะเล็งยิงใครให้ตายได้แล้วล่ะ"
วาสดินเล่านึกถึงตัวเองในขณะนั้น
"และผมยังใช้แมกกาซีน 9 มม. ของคาซาโนว่าไปหมดเกลี้ยงอีกด้วย"


ภาพเพียงหนึ่งเดียวที่ถ่ายได้ ท่ามกลางสมรภูมิ เมืองโมกาดิชู

เหตุการณ์ต่อมาซึ่งเหมือนกับในภาพยนตร์ กองกำลังต่อต้านเคลื่อนที่เร็ว
ก็ได้เข้าถึงตัวเจ้าหน้าที่ ที่ติดอยู่กับขบวนรถ และนำออกจากพื้นที่
ทหารกองกำลังไอดิด เมื่อได้เห็นกำลังเสริมของสหรัฐ ก็ถอนตัวล่าถอยไป
ช่วยให้กำลังพลสหรัฐได้หายใจหายคอ

"เบาๆกับเขาหน่อยนะ" คาซาโนว่า พูดกับกำลังเสริมที่เข้ามาช่วย
พร้อมกับช่วยแบกร่างไร้เรี่ยวแรงของวาสดิน ขึ้นรถบรรทุก M35 หลังคาผ้าใบ
"ขาขวาของเขามันห้อยจนแทบจะฉีกขาดอยู่แล้ว"
คาซาโนว่าเล่าถึงอาการของวาสดินในตอนนั้น
ขบวนรถทั้งหมด ก็ได้เคลื่อนที่ออกจากพื้นที่ กลับถึงลานบินฐานที่มั่นโดยปลอดภัย

ภาพของลานบินที่เห็นในภาพยนตร์นั้นออกจะเกินความจริงไปสักหน่อย
ภาพของทหารอเมริกาที่นอนบาดเจ็บ จนเต็มพื้นที่
เสนารักษ์ที่วุ่นวายกับการรักษากำลังพล เรนเจอร์ที่เปิดท้ายรถฮัมวี่
พบเจอเลือดที่ไหลนองเต็มกระบะ

ภาพของกลุ่มผู้นำหลายคนของกองกำลังไอดิดเกิดความหวาดระแวง
คาดการณ์ได้ถึงกองกำลังสหรัฐที่เตรียมกลับเข้าสู่เมืองอีกครั้ง
บางคนเลือกที่จะหนีออกนอกเมือง บางคนก็รวมหัวกันจะคว่ำบาตรมอบตัวไอดิด
ให้กับกองกำลังสหรัฐเพื่อแลกกับอิสรภาพ

ภาพที่คิดไว้ของ SEALS หนุ่มหน้าใหม่ 4 นาย สังกัด DEVGRU
กำลังถูกส่งตัวมาช่วยเหลือภารกิจกองร้อย Alpha ของ Delta Force
กำลังจัดเตรียมเครื่องอุปกรณ์เพื่อที่จะเข้าช่วยเหลือ
กองร้อย Charlie กำลังพล Ranger ระลอกใหม่จะเข้ามาผลัดเปลี่ยน

แต่ในความจริงภาพทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ไม่เคยได้เกิดขึ้นจริง ...

เพราะเนื่องจาก การออกอากาศในสหรัฐอเมริกา
ของผลลัพท์การสู้รบที่โซมาเลีย รัฐบาลเกิดกลัวที่ผลลัพธ์
ที่จะสร้างกระแสด้านลบต่อสาธารณะชนหากสั่งการ
ให้มีปฎิบัติการตอบโต้ต่อไปอีก

"แทนที่จะเห็นถึงผลลัพธ์ที่พวกเราจะได้
ปธน.คลินตัน กลับมองว่าการเสียสละของพวกเรา
คือความพ่ายแพ้ "

วาสดินพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนในใจ

"และเขายังสั่งให้หยุดปฎิบัติการทุกอย่างที่ต่อกรกับไอดิดอีกด้วย"

4 เดือนต่อมา ผู้ต้องสงสัยทุกคน ที่ถูกจับกุมด้วยกำลังพลเฉพาะกิจ เรนเจอร์
กลับถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ สิ่งที่ภารกิจนี้สมควรจะเป็น คือ
ภารกิจเข้าที่หมาย จับกุม และ ถอนตัว

หากแต่กำลังพลปฎิบัติการพิเศษทุกนายต้องทำภารกิจแบบเปิดเผยที่ตั้ง
และ ติดกับดักซุ่มโจมตี ของกองกำลังชาวโซมาเลียของไอดิดกว่าพันคน

การตัดสินใจลงมือในช่วงกลางวันแสกๆแทนที่จะเป็นกลางคืน 
ซึ่งมันจะช่วยทำให้กำลังพลปฎิบัติการพิเศษถือไพ่เหนือกว่า

ส่งกำลังพลเข้าไปในเมืองแออัดโดยที่ไม่มี รถหุ้มเกราะ หรือ
เครื่องบิน Gunship ช่วยตรวจการณ์หรือยิงสนับสนุน
ยิ่งลดแต้มต่อของกองกำลังสหรัฐ

สำหรับคนหัวใจนักรบอย่าง โฮวาร์ด วาสดิน
ความพ่ายแพ้ที่เขาได้รู้สึก ก็คงจะเป็น
การที่ไม่ได้ปฎิบัติหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วง

ที่มา
https://coffeeordie.com/navy-seals-mogadishu/

โดย
Miguel Ortiz, We are the Mighty เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2563

บทความ
THE NAVY SEALS YOU DIDN’T SEE IN BLACK HAWK DOWN

แปลโดย ธีธัช รินชัย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เรียบเรียงโดย รณกฤต " VikinGz " ศรีพุมมา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ทิ้งข้อความไว้

ความคิดเห็นทั้งหมดจะถูกกลั่นกรองก่อนที่จะเผยแพร่